|
แหล่งที่มารูปภาพ
en.wikipedia.org
hbacademy.org.uk
|
สติเจตสิก (โสภณเจตสิก)
|
|
จิต กับ เจตสิก เป็นนามธรรมเหมือนกัน จึงเข้าประกอบกันได้สนิท เหมือนน้ำกับน้ำตาล หรือ น้ำกับสีพลาสติก โดยจิตเป็นธรรมชาติที่รู้อารมณ์
และเจตสิกเป็นธรรมชาติที่ปรุงแต่งจิต ให้รู้อารมณ์เป็นไปต่าง ๆ ตามลักษณะของเจตสิก เช่นจิตเห็นพระธุดงค์กำลังเดินบิณฑบาต
เจตสิกก็ปรุงแต่งจิตให้อยากทำบุญใส่บาตร กับพระธุดงค์องค์นั้นเป็นต้น ในการนี้จึงนับว่าจิต (เห็น) เป็นใหญ่เป็นประธาน
เจตสิกที่คิดจะทำบุญใส่บาตร จึงได้อิงอาศัยจิตเกิดขึ้น
อรรถกถาจารย์ ท่านเปรียบเทียบจิตเป็นน้ำ เจตสิก ได้แก่ สีต่างๆที่ปนเข้าไปแต่งแต้มให้ออกมาเป็นสีต่างๆ หรือเปรียบเทียบจิตเป็นเม็ดยาและเจตสิก
ได้แก่ ตัวยาหรือเนื้อยาหรือสรรพคุณของยานั่นเอง
แหล่งที่มาทางธรรม :
http://www.abhidhamonline.org/Moonlanithi.htm
สติ ตามความหมายในทางพุทธศาสตร์แปลว่า ความระลึกได้, นึกได้, ความไม่เผลอ, การคุมใจไว้กับกิจ หรือกุมจิตไว้กับสิ่งที่เกี่ยวข้องหรือการปฏิบัตินั่นเอง สติเป็นสิ่งสำคัญยิ่งในการปฏิบัติในทางพุทธศาสนา เช่น สติในมรรค๘ หรือสติในโพชฌงค์๗ สติในสติปัฏฐาน๔ เป็นต้น.
อันเป็นเหตุปัจจัยอันสําคัญยิ่งในการบรรลุถึงจุดหมายในการดับทุกข์ หรือความจางคลายหายจากทุกข์ ในที่นี้ผู้เขียนจะกล่าวจําเพาะเจาะจงลงไป
ในเรื่องเกี่ยวกับการปฏิบัติ โดยเฉพาะสติให้เห็นเวทนาและจิตเป็นสําคัญ (เวทนานุปัสสนา และจิตตานุปัสสนา ในสติปัฏฐาน๔)
สตินั้นก็คือ กริยาหรืออาการหนึ่งของจิตนั่นเองที่ทำหน้าที่ระลึกได้หรือสำนึกพร้อม เป็นหนึ่งในเจตสิก๕๒(ข้อที่๒๙)
เป็นสังขารขันธ์คือการกระทำทางใจหรือจิตอย่างหนึ่ง และเป็นสังขารขันธ์ที่พระพุทธองธ์ทรงสรรเสริญยิ่งว่า "สติ มีประโยชน์ในที่ทั้งปวง"
จึงเป็นภาเวตัพพธรรม สิ่งที่ควรภาวนาคือทำให้เจริญขึ้น
แหล่งที่มาทางธรรม :
http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=18003
สติเจตสิก เป็นโสภณเจตสิก เป็นเจตสิกฝ่ายดี เพราะฉะนั้นเมื่อสติเจตสิกเกิดขึ้นขณะใดจิตขณะนั้นเป็นโสภณ และแต่ว่าจะเป็นกุศลระดับใด หรือว่าจะ
เป็นกุศลวิบาก หรือว่าจะเป็นกิริยาจิตของพระอรหันต์ สติก็เป็นสภาพที่ระลึกเป็นไปในขณะนั้น เช่น ขณะนี้ได้ฟังว่าเป็นธรรมทั้งหมดเลย เห็นสิ่งที่ปรากฏก็เป็นสิ่งที่มีจริง เป็นธรรมชนิดหนึ่ง ลักษณะของสิ่งที่ปรากฏทางตาก็ต่างกับธรรมอื่นแน่นอน
ค. โสภณเจตสิก 25 (เจตสิกฝ่ายดีงาม -)โสภณเจตสิก มี ๒๕ ดวง เป็นเจตสิกฝ่ายดีงาม จะเข้าประกอบจิตปรุงแต่งจิตเฉพาะจิตที่เป็นกุศล เท่านั้น
หรือเกิดขึ้นในขณะที่จิตใจของคนที่ทำดี พูดดี คิดดี มีการทำทาน รักษาศีล เจริญภาวนา เป็นต้น เป็นผลทำให้ชีวิตของผู้นั้นเจริญก้าวหน้า
มีความสุขความสมหวังติดตามมา แบ่งออกเป็น ๔ ประเภท
1) โสภณสาธารณเจตสิก 19 (เจตสิกที่เกิดทั่วไปกับจิตดีงามทุกดวง -)โสภณสาธารณเจตสิกทั้ง ๑๙ ดวงนี้ จะเข้าประกอบจิตใจ
ในการทำความดีทุกประเภท เกิดขึ้นได้ในจิตใจของคนทั่วไป ขณะที่ทำคุณงามความดี เช่น ขณะที่ทำทาน รักษาศีล เจริญสมถวิปัสสนาหรือว่า
เกิดขึ้นกับโสภณจิต ๕๙ ดวง หรือ ๙๑ ดวง ซึ่งเราได้ศึกษามาแล้ว คือกามาวจรโสภณจิต ๒๔ ดวง (การทำบุญทั่วไป)
มหัคคตจิต ๒๗ ดวง (การทำรูปฌานและอรูปฌาน) โลกุตตรจิต ๘ ดวง หรือ ๔๐ ดวง (การตัดกิเลสได้โดยเด็ดขาด)
ถ้ายังจำไม่ได้ต้องไปทบทวนดูอีกครั้ง เพื่อความเข้าใจ
28. สัทธา (ความเชื่อ)ธรรมชาติที่มี ความเชื่อเลื่อมใสในพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์ ตามความเป็นจริง เชื่อในกรรมและผลของกรรม เป็นต้น
29. สติ (ความระลึกได้, ความสำนึกพร้อมอยู่) ธรรมชาติที่มีความระลึกในอารมณ์ที่เกียวกับกุศลธรรม มีคุณของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นต้น
30. หิริ (ความละอายต่อบาป) ธรมชาติที่มีความเกลียด และละอายต่อการงานอันเป็นทุจริต
31. โอตตัปปะ (ความสะดุ้งกลัวต่อบาป) ธรรมชาติที่สะดุ้งกลัวต่อการงานอันเป็นทุจริต
32. อโลภะ (ความไม่อยากได้อารมณ์) ธรรมชาติที่ไม่อยากได้และไม่ติดอยู่ในกามคุณอารมณ์
33. อโทสะ (ความไม่คิดประทุษร้าย) ธรมชาติที่ไม่ประทุษร้ายในอารมณ์
34. ตัตรมัชฌัตตตา (ความเป็นกลางในอารมณ์นั้นๆ) ธรรมชาติที่ทำให้จิต เจตสิกสมำ่เสนอในกิจของตนๆ ไม่ให้มีการยิ่งหย่อน
35. กายปัสสัทธิ (ความสงบแห่งกองเจตสิก) ธรรมชาติที่เป็นความสงบของเจตสิกขันธ์ 3 ในการงานอันเป็นกุศล
36. จิตตปัสสัทธิ (ความสงบแห่งจิต) ธรรมชาติที่เป็นความสงบของจิตในการงานอันเป็นกุศล
37. กายลหุตา (ความเบาแห่งกองเจตสิก) ธรรมชาติที่เป็นความเบาของเจตสิกขันธ์ 3 ในการงานอันเป็นกุศล
38. จิตตลหุตา (ความเบาแห่งจิต) ธรรมชาติที่เป็นความเบาของจิต ในการงานอันเป็นกุศล
39. กายมุทุตา (ความอ่อนหรือนุ่มนวลแห่งกองเจตสิก) ธรรมชาติที่เป็นความอ่อนของเจตสิกขันธ์ 3 ในการงานอันเป็นกุศล
40. จิตตมุทุตา (ความอ่อนหรือนุ่มนวลแห่งจิต) ธรรมชาติที่เป็นความอ่อนของจิตในการง่นอันเป็นกุศล
41. กายกัมมัญญตา (ความควรแก่การงานแห่งกองเจตสิก ) ธรรมชาติที่เป็นความควรของเจตสิกขันธ์ 3 ในการงานอันเป็นกุศล
42. จิตตกัมมัญญตา (ความควรแก่การงานแห่งจิต) ธรรมชาติที่เป็นความควรของจิต ในการงานอันเป็นกุศล
43. กายปาคุญญตา (ความคล่องแคล่วแห่งกองเจตสิก -) 44. จิตตปาคุญญตา (ความคล่องแคล่วแห่งจิต)
ธรรมชาติที่เป็นความคล่องแคล่วของเจตสิกขันธ์ 3 ในการงานอันเป็นกุศล
44. จิตตปาคุญญตา ธรรมชาติที่เป็นควมคล่องแคล่วของจิตในการงานอันเป็นกุศล
45. กายุชุกตา (ความซื่อตรงแห่งกองเจตสิก)ธรรมชาติที่เป็นความซื่อตรงของเจตสิกขันธ์ 3 ในการงานอันเป็นกุศล
46. จิตตุชุกตา (ความซื่อตรงแห่งจิต) ธรรมชาติที่เป็นความซื่อตรงของจิต ในการงานอันเป็นกุศล
ในบรรดาโสภณสาธารณเจตสิกนั้น ปัสสัทธิเจตสิก ลหุตาเจตสิก มุทุตาเจตสิก กัมมัญญาตาเจตสิก ปาคุญญาตาเจตสิก อุชุกตาเจตสิก
ทั้ง 6 ดวงนี้มีเป็นคู่ๆกัน จึงรวมเป็น 12 ดวง นับพร้อมด้วยศรัทธาเจตสิกเป็นต้นแล้ว โสภณสาธารณเจตสิกจึงมี 19 ดวง เจตสิกเหล่านี้ชื่อว่า โสภณสาธารณเจตสิกนั้น เพราะประกอบด้วยโสภณเจตสิกทั่วไปทั้งหมด
เมื่อแยกบทแล้วมี 2 คือ โสภณ+สาธารณ โสภณ คือจิตที่มีความสวยงามอันไม่มีโทษ สาธารณะ หมายถึง ทั่วไป เมื่อรวม 2 บท
เป็น โสภณสาธารณ = ทั่วไปในจิตที่มีความสวยงามอันไม่มีโทษ
แหล่งที่มาทางธรรม :
http://dhrammada.wordpress.com/2012/03/14/โสภณเจตสิก/
โยนิโสมนสิการครับ
เมื่อสภาพธรรม ของ สติเกิด ก็จะทำกิจของสติ
ฉนั้นการเจริญกุศลธรรม สติ(โสภณเจตสิก) จะเจริญตอนอกุศลธรรมเกิด เพื่อขัดเกลา ลด เบาบางซึ่งอกุศลธรรม ให้ประจักษ์ ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่บุคคล เรา เขาเป็นอนัตตา เพราะจิตเกิดดับอยู่ตลอดเวลา
และมีสติระลึกรู้แยกและรู้ขันธ์ ๕ คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ
เมื่อหลงลืมสติ ก็จะมีโมหะเจตสิกเกิด
แหล่งที่มาในพระธรรม :
|
สติเจตสิก(โสภณเจตสิก)
Thursday, September 4, 2014
spiritual consciousness
Subscribe to:
Comments (Atom)
